ลลิตา ทองสวัสดิ์
วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
การขยายพันธุ์บานเย็น
เวลาจากเพาะเมล็ดจนให้ดอก
3 เดือนครึ่งถึง 4 เดือน
บานเย็นมีดอกรูปแตร เส้นผ่าศูนย์กลางดอกประมาณ 1 นิ้ว คอดอกยาวประมาณ 1 – 2 นิ้ว มีสีต่างๆ เว้น
สีฟ้า บางพันธุ์มลายด่างสีขาวในกลีบดอก ต้นเป็นพุ่ม บานเย็นชอบดินเบา ระบายน้ำดี ที่ปลูกควรมีแดด
จัด แต่ถ้าเป็นใต้ร่มไม้ก็ให้ดอกได้ หรือถ้าที่ปลูกเป็นดินเลวก็ทนได้ ที่จริงบานเย็นเป็นไม้ยืนต้นที่นำมา
ปลูกกันเป็นไม้ล้มลุก บานเย็นมีรากเป็นหัวเช่นเดียวกับรักเร่ การขยายพันธุ์ทำได้โดยแบ่งรากให้มีตาติด
แล้วนำไปปลูกจะได้ต้นใหม่ ถ้าปลูกด้วยหัวจะโตเร็วและให้ดอกดกกว่าปลูกจากเมล็ด เมล็ดของบานเย็น
มีขนาดใหญ่เมื่อตกลงบนดินจะงอกแทนต้นเดิมได้ง่าย หัวของบานเย็นนำมานึ่งหรือต้มกินได้เช่นเดียว
กับหัวเผือก
ประโยชน์ของบานเย็น
ประโยชน์ของบานเย็น
- ต้นไม้บานเย็น นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป โดยเฉพาะต้นที่มีดอกสีชมพู และดอกขาว[1]
- แป้งจากเมล็ดใช้ทารักษาสิว ฝ้า ลบรอยด่างดำบนใบหน้าได้ โดยภายในเมล็ดจะมีแป้งสีขาวเป็นผงละเอียด หญิงไทยในอดีตจะนำมาใช้ผัดหน้า ให้ผิวสวย และไม่เป็นสิว นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าหญิงชาวจีนและญี่ปุ่นก็เคยใช้แป้งชนิดนี้เพื่อผัดหน้าแก้สิวเช่นกัน[4],[5]
- เมล็ดของบานเย็นบางสายพันธุ์ เมื่อนำมาบดละเอียดเป็นผงแล้วสามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในสีย้อม ในเครื่องสำอาง[7]
- ผงจากรากนำมาใช้ผสมกับแป้งข้าวเจ้า และผงไม้จันทน์ นำมาทำเป็นเครื่องสำอางได้[6]
- ใบบานเย็น สามารถรับประทานแบบสุกได้ แต่ควรรับประทานเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น[7]
- ดอกนิยมนำมาใช้ทำเป็นสีผสมอาหาร โดยจะให้สีแดงเข้ม ซึ่งมักนำมาใช้ในการแต่งสีเค้กและเจลลี่[7]
- เมล็ด ราก และยอดอ่อน มีสาร Mirabilis antiviral proteins (MAPs) ที่ช่วยปกป้องพืชจากพวกไวรัสที่ก่อโรคในพืชและเชื้อราบนดินได้ มีประสิทธิภาพในการช่วงป้องกันพืชผลทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้หายชนิด เช่น ข้าวโพด ยาสูบ จาก มันฝรั่ง เป็นต้น[9]
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรบานเย็น
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรบานเย็น
- เมล็ดบานเย็นส่วนใหญ่จะมีความเป็นพิษมาก (สาร Neurotoxic) ไม่ควรนำมารับประทานหากได้รับพิษอาจทำให้เกิดอาการอาเจียนและมีอาการท้องเสีย หากได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เสียชีวิตได้[8],[9]
- ไม่ควรใช้สมุนไพรบานเย็นในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีรายงานพบว่ามันทำให้เกิดการแท้งบุตรได้[9]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบานเย็น
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบานเย็น
- สารสกัดที่ได้จากใบ (เรซิน) มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาอาการบวมน้ำ และมีฤทธิ์เป็นยาถ่าย[6]
- ส่วนรากก็มีสารเรซินที่มีฤทธิ์ระคายเยื่อเมือก เยื่อบุผนังลำไส้[6]
- ดอกมีกลิ่นหอมฉุน อาจทำให้เกิดอาการมึนเมาได้ จึงสามารถใช้ไล่ยุงและแมลงได้[6]
- น้ำสกัดจากใบหรือทั้งต้น เมื่อนำมาใส่เอทานอลลงไปจะตกตะกอน แล้วกรองเอาน้ำสกัดที่ได้จะมีตัวยาเทียบเท่ากับยาสด เมื่อนำมาใช้ฉีดกระต่าย มีผลทำให้หัวใจกระต่ายเต้นเร็วขึ้นมีการบีบตัวแรงขึ้น แต่กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว เมื่อนำมาฉีดเข้าไปในหลอดเลือนแมว พบว่ามีความดันเลือดสูงขึ้นประมาณ 75% และจะกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ฤทธิ์ดังกล่าวจะไม่มีผลอะไรต่อลำไส้เล็กของหนูตะเภา ส่วนลำไส้เล็กของกระต่ายจะมีผลเป็นการยับยั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้เล็ก และจากการตรวจสอบทางเคมีของน้ำสกัดจะไม่พบสารอัลคาลอยด์[6]
- นักวิจัยฮ่องกงได้ทำการแยกสาร MAPs อีกตัวหนึ่งที่อยู่ในรากของบานเย็น โดยพบว่ามีฤทธิ์เป็น Antiviral และยังพบว่ามีฤทธิ์ทำให้แท้งในหนู, ยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน ยับยั้งการเจริญเติบโตของ Tumor cell และรบกวนกระบวนการอื่นๆ ในเซลล์ของไวรัส และยังพบว่าในส่วนของเมล็ดมี Peptide บางชนิดที่มีฤทธิ์คล้ายกับพิษแมงมุม[9]
- ในปี 2001 นักวิจัยได้ค้นพบสารประกอบ Phenolic ที่มีฤทธิ์ต้าน Candida albican เมื่อทดลองในหลอดทดลอง และจากการสกัดดอก ใบ และรากด้วยน้ำร้อนจะได้สารที่ออกฤทธิ์เป็น Antifungal ในการทดลองอื่นๆ และในการวิจัยอื่นๆ ในส่วนของใบบานเย็นและกิ่งก้านของต้นไม่มีการยืนยันว่ามีฤทธิ์ Antimicrobial ดังนั้นคุณสมบัตินี้อาจมีอยู่แค่เพียงในรากเท่านั้น[9]
- สารสกัดจากส่วนรากด้วยน้ำและ Ethanol จะแสดงฤทธิ์ Mild uterine stimulant ในหนูทดลอง และ Antispasmodic ใน Guinea pigs[9]
สรรพคุณของบานเย็น
สรรพคุณของบานเย็น
- ช่วยแก้ไข้ ระงับความร้อนในร่างกาย (หัว)[1],[5],[6]
- หัวบานเย็น ใช้รับประทานเป็นยาขับเหงื่อ (หัว)[1],[5],[6]
- สรรพคุณบานเย็น หัวหรือรากช่วยแก้โรคเบาจืด (หัว)[5]
- สรรพคุณดอกบานเย็น ช่วยแก้อาเจียนเป็นเลือด แก้กระอักเลือด (ดอก,หัว)[5],[6] ด้วยการใช้ดอกสดประมาณ 120 กรัม นำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกินแก้อาการ[6]
- ช่วยแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ด้วยการใช้รากหรือหัวสดนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้กวาดคอ (หัว)[5],[6]
- หัวหรือรากบานเย็น มีสาร “Alkaloid Trigonelline” ที่มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ยาระบาย (หัว)[1],[7]
- ช่วยขับปัสสาวะ (หัว,ใบ)[5],[6]
- เชื่อว่ารากหรือหัวของบานเย็นมีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศได้ (หัว)[7]
- ใบนำมาใช้ภายในเป็นยารักษาโรคหนองในได้ หรือจะใช้รากหรือหัวจากต้นดอกสีขาวนำมาหั่นเป็นแผ่น ผสมกับโป่งรากสน นำมาต้มกินก่อนอาหารวันละ 2 เวลา (หัว,ใบ)[6]
- ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี ด้วยการใช้รากหรือหัวจากต้นดอกสีขาวนำมาหั่นเป็นแผ่น ผสมกับโป่งรากสน นำมาต้มกินก่อนอาหารวันละ 2 เวลา (หัว)[5],[6]
- ช่วยรักษาอาการบวมน้ำ (หัว)[7]
- น้ำคั้นจากใบใช้ชะล้างบาดแผล หรือแผลฟกช้ำให้หายเร็วยิ่งขึ้นได้ (ใบ)[6]
- ใบสดนำมาตำพอก หรือคั้นเอาแต่น้ำมาทาเป็นยารักษากลากเกลื้อน (ใบ)[1],[5],[6]
- ใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปอุ่นไฟให้ร้อนพอทนได้ นำมาใช้พอกรักษาฝี แผลมีหนองต่างๆ ช่วยทำให้หนองออกมา แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (ใบ)[1],[5],[6]
- ช่วยรักษาแผลเรื้อรังได้ (ใบ,หัว)[5] หากเป็นแผลเรื้อรังบริเวณหลังให้ใช้รากหรือหัวสดจากต้นดอกสีแดง ผสมกับน้ำตายทรายแดงพอประมาณ นำมาตำแล้วพอก และให้หมั่นเปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง[6] และหัวยังช่วยรักษาหนองได้อีกด้วย (หัว)[5]
- แป้งจากเมล็ดใช้รักษาแผลมีน้ำเหลือง ผิวหนังพองมีน้ำเหลือง ด้วยการใช้เมล็ดนำมาแกะเอาเปลือกออก แล้วเอาแป้งมาบดเป็นผงให้ละเอียด นำใช้ทาถูภายนอก (เมล็ด)[5],[6]
- น้ำคั้นจากใบ ใช้ทารักษาผื่นแดงที่มีอาการคัน ใช้ทาช่วยบรรเทาอาการคัน และยังลดอาการแสบร้อนได้ด้วย (ใบ)[1],[5],[6]
- ใบบานเย็น สรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบได้ (ใบ)[7]
- ช่วยแก้บวม แก้อักเสบ (หัว)[5]
- รากหรือหัวจากต้นดอกสีแดง นำมาใช้รักษาอาการปวดตามข้ออย่างเฉียบพลันได้ ด้วยการเอาขาหมู หรือเต้าหู้ นำมาต้มกิน (หัว)[6]
- หัวใช้รับประทานจะทำให้ผิวหนังชา อยู่คงกระพันเฆี่ยนตีแล้วไม่แตกกลับทำให้รู้สึกคัน (หัว)[1]
ลักษณะของบานเย็น
ลักษณะของต้นบานเย็น
- ต้นบานเย็น เป็นไม้พุ่มเนื้ออ่อนมีอายุหลายปี มีเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร มีลำต้นสีแดง ออกนวลเล็กน้อย แตกกิ่งก้านจำนวนมาก เป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง เป็นไม้ที่เลี้ยงง่ายขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ควรปลูกไวกลางแจ้งและดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนมีธาตุอาหารสมบูรณ์ ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
- รากบานเย็น มีลักษณะพองเป็นหัว หรือเรียกว่าเหง้า มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร[5]
- ใบบานเย็น ใบออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามลำต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือเป็นรูปใบหอก หรือเป็นรูปสามเหลี่ยม และมีขนประปราย ใบมีความกว้างประมาณ 2-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ส่วนโคนใบตัดหรือเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบเป็นสีเหลืองอ่อน เห็นได้ชัดเจน และก้านใบมีความยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร[1],[2],[3] โดยในใบจะประกอบด้วยสาร B-sitosterol, 12-tricosanone, n-hexacosanol, กรดไขมัน (Tetracosanoic acid), กรดอะมิโน (Alanine, Glycine, Leucin, Tryptophan, Valine), และกรดอินทรีย์ (Citric acid, Tartaric acid)[6]
- ดอกบานเย็น ดอกมีกลิ่นหอม ออกดอกติดกันเป็นกลุ่มๆ ลักษณะของดอกที่ยังไม่บานจะเป็นรูปหลอด เมื่อดอกบานจะเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ โดยดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร ดอกมีกลีบประดับเป็นรูประฆังติดอยู่ที่ฐาน มีความประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ดอกเกือบไร้ก้าน แต่ละช่อดอกมีดอกอยู่ประมาณ 4-5 ดอก ดอกจะบานเย็นเรื่อยไปจนถึงตอนเช้าแล้วจะหุบ ส่วนวงกลีบหรือกลีบดอกมีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก เช่น ดอกสีชมพู สีม่วง สีแดง สีขาว สีเหลือง สีส้ม สีด่าง หรือแม้กระทั่งมีสองสีในดอกเดียวกัน มีความยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร โดยปากกลีบจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร ดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ยื่นยาวออกมาประมาณ 1 เซนติเมตร มีก้านเกสรเป็นสีแดง ส่วนอับเรณูมีลักษณะเป็นทรงกลม รังไข่เป็นรูปรี ส่วนก้านเกสรตัวเมียจะยาวเท่ากับก้านเกสรตัวผู้ และมีสีแดง ปลายเกสรเป็นตุ่ม เป็นพูตื้นๆ และสามารถออกดอกได้ตลอดปี[1],[2],[4],[5] โดยในดอกจะสารจำพวกฟลาโวนอยด์ และสาร Betaxanthins[6]
- ผลบานเย็น หรือ เมล็ดบานเย็น มีลักษณะทรงกลม มีสีดำ ผิวขรุขระหยาบๆ มีขนาดยาวประมาณ 0.5-0.9 เซนติเมตร เปลือกบาง มีสัน 5 สัน ภายในจะมีแป้งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยประกอบไปด้วยไขมันประมาณ 4.3%, linolenic acid ประมาณ 15.1% และยังประกอบด้วยสาร Kaempferol glycoside และสาร Quercetin[1],[3],[6]
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)